ใครลิขิต


จากทฤษฎี "บิกแบง" ได้บอกไว้ว่า โลกได้ถือกำเนิดขึ้นจากการระเบิดอย่างรุนแรงของมวลความหนาแน่น และขยายตัวเองออกไปอย่างไม่มีขอบเขตดังที่เราเรียกกันว่า "เอกภพ" เมื่อประมาณสี่พันห้าร้อยล้านปีก่อนที่ผ่านมา..

ความมหัศจรรย์ของโลกเริ่มค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นเมื่อผ่านมาอีกหลายพันล้านปี เมื่อโลกเริ่มเย็นตัวลง และปรากฏให้เห็นสิ่งมีชีวิตประเภทเซลล์เดียว และน้ำเกิดขึ้น 

จากสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เริ่มค่อยๆ มีพัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตในรูปแบบอื่นๆ รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "มนุษย์" เกิดขึ้น

และสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "มนุษย์" ชนิดนี้ ก็ได้ขยายเผ่าพันธุ์ออกไป มีกระบวนความคิด และวิวัฒนาการที่ต่างจากสิ่งมีชีวิตประเภทอื่นๆ ดังเช่นพืช และสัตว์ต่างๆ แม้ว่ามนุษย์ จะมีลักษณะทางกายภาพที่คล้ายกับสัตว์ชนิดหนึ่งนั่นคือ "ลิง" ก็ตาม..

..................

มนุษย์เรานั้น ได้สั่งสม และเรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆ ในการดำรงชีวิตอยู่ จนนำเอาสิ่งเหล่านั้นมาเขียนเป็นบทสรุป เกิดเป็นศาสตร์แห่งการเรียนรู้ต่างๆ มากมาย

หลายหลักสูตรนั้น ถูกนำมาใช้เป็นตำรา และแบบเรียนมาตรฐานตามช่วงวัย ตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม และอุดมศึกษา

แต่หลายหลักสูตรวิชา ก็ถูกห้ามนำมาใช้เป็นหลักสูตรมาตรฐานในชั้นเรียน คงไว้ให้เรียนได้เฉพาะกลุ่มคนที่มีความสนใจในแบบเดียวกันเท่านั้น

หลักสูตรหนึ่งที่ว่านั่นก็คือ "โหราศาสตร์"

"โหราศาสตร์" คือ ศาสตร์แห่งการทำนายทายทัก การพยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต รวมไปถึงเรื่องราวต่างๆ เมื่อในอดีตที่ผ่านมา ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว

โดยการทำนายนั้น จะต้องถูกยึดโยงเข้ากับบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบุคคลผู้ที่ต้องการรู้ความเป็นไปของตัวเอง ดังเช่น การดูเส้นต่างๆ บนลายมือ การดูโหงวเฮ้ง การดูจากไพ่ การดูจากเลขท้ายของบัตรประจำตัวประชาชน

แต่รูปแบบการทำนายที่ดูจะเข้าเกณฑ์ของความแม่นยำในระดับหนึ่ง คือการทำนายจาก วัน เดือน ปีเกิด และเวลาเกิด หรือที่เรียกว่าเวลาตกฟาก รวมถึงสถานที่เกิด ว่าอยู่แห่งหนไหนบนโลกใบนี้


ซึ่งการทำนายแบบนี้เรียกว่าเป็นการผูกดวงชะตา ยิ่งข้อมูลเกี่ยวกับการกำเนิดของผู้นั้นมีความชัดเจน แน่นอนเท่าไหร่ ย่อมส่งผลไปถึงการทำนายทีมีความแม่นยำมากขึ้นตามไปด้วย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การทำนายผลแห่งโชคชะตา ก็ยังต้องพึ่งผู้ที่ศึกษาศาสตร์แห่งโหรานี้ประกอบเข้าด้วยกัน ดังที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "หมอดู"

แม้นจะขึ้นชื่อว่าเป็นหมอดูเหมือนกัน แต่การที่จะทำนายทายทักให้ได้ผลแห่งความแม่นยำนั้น อาจไม่เหมือนกัน เพราะอาจต้องพึ่งด้วยประสบการณ์ของผู้ทำนาย และจิตวิทยาในการทำนาย เพื่อช่วยผ่อนคลายความกังวลของผู้รับคำทำนาย

..................

การกล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการทำนายแห่งโชคชะตานั้น มิได้หมายให้ผู้ที่ไม่มีความคิดเชื่อเรื่องดังกล่าว เกิดความคล้อยตาม หรือหาหนทางแห่งการหักล้างความเชื่อแต่ประการใด

เพราะถึงแม้ว่าจะไม่มีความเชื่อ หรือไม่ยอมรับในเรื่องนี้ อย่างไรเสียเราก็มิอาจหลีกหนีพ้นได้


ด้วยถ้ามองจากความเป็นจริงตามกายภาพของโลกใบนี้ ที่หมุนและลอยอยู่ท่ามกลางดวงดาวน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน ที่ต่างก็มีวิถีของการโคจรต่างกันไป หากเมื่อมีสิ่งมีชีวิตใดเกิดขึ้นในขณะช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ย่อมหนีไม่พ้นที่พลังแห่งดวงดาวต่างๆ จะส่งผลต่อไปกับการกำเนิดของสิ่งมีชวิตนั้น ตลอดช่วงอายุขัย

..................

ศาสตร์แห่งการทำนายทายทัก หรือ "โหราศาสตร์" ไม่ได้มีเกิดขึ้นมาเพียงไม่นานมานี้ แต่ทว่ามีมานานกว่าพันปี หรือมากกว่านั้น

หนึ่งในเรื่องราวของการทำนายเกี่ยวกับโหราศาสตร์ที่ชัดเจน ที่เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อกว่าสองพันหกร้อยปี นั่นคือ การทำนายดวงชะตาให้กับเด็กชายผู้หนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้น เด็กชายผู้นั้นมีชื่อว่า "สิทธัตถะ"

"สิทธัตถะ" เด็กชายที่กล่าว แท้จริงก็คือพระราชกุมาร โดยทรงเป็นพระราชโอรสของ "พระเจ้าสิริสุทโธทนะ" ผู้เป็นพระราชบิดา และ "พระนางสิริมหามายา" ผู้เป็นพระมารดา

หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาล พระเจ้าสิริสุทโธทนะ ผู้เป็นพระราชบิดา ก็ได้อัญเชิญพราหมณ์ปุโรหิต ที่เป็นโหราจารย์ จำนวนหนึ่งร้อยแปดท่าน 

จากนั้นจึงคัดเลือกให้เหลือแปดท่าน

และในจำนวนพราหมณ์โหราจารย์แปดท่านนั้น มีอยู่เจ็ดท่าน พยากรณ์ได้เป็นสองแนวทาง

คือ พระกุมารนี้ถ้าอยู่ในเพศฆารวาสครองราชสมบัติ จะได้เป็นพระมหาจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก แต่ถ้าทรงออกผนวช จะได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกในโลก

แต่สำหรับท่าน "โกณฑัญญะพราหมณ์" ผู้ที่เป็นพราหมณ์หนุ่มที่อ่อนวัยกว่าใคร ในจำนวนพราหมณ์ทั้งแปด ได้ถวายพยากรณ์ และฟันธงว่า..

พระกุมารพระองค์นี้ จะไม่ทรงอยู่ในราชสมบัติ แต่จะได้เสด็จออกผนวช และได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกในโลกอย่างแน่นอน

และต่อมาพระองค์ก็ทรงบรรลุธรรม และได้ตรัสรู้เป็น "สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" เมื่อพระชนมายุสามสิบห้าพรรษา

.................

เรื่องราวต่อมาที่อยากเล่า คือเรื่องที่ผ่านมาเมื่อเพียงสองร้อยปีเศษ

เป็นเรื่องราวความมหัศจรรย์ของพี่น้องฝาแฝดชายคู่หนึ่ง ที่มีส่วนลำตัวติดกัน เขาคือ "อินและจัน"

อิน (พี่-ซ้ายมือ) จัน (น้อง-ขวามือ)

หลายคนคงรู้จักประวัติของท่านทั้งสองกันอยู่บ้างแล้ว

แฝดอินและจัน แม้นว่าจะถือกำเนิด หรือตกฟากในเวลาเดียวกัน และมีส่วนลำตัวติดกันก็ตาม

แต่ทว่าวิถีทางในการใช้ชีวิต และอารมณ์กลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง รวมไปถึงต่างก็มีภรรยา และมีลูกเป็นครอบครัวของตัวเอง

เรื่องราวที่หยิบยกมานี้ พอจะบอกได้อย่างหนึ่ง..

หากเมื่อใดก็ตาม ที่เราได้ถือกำเนิดมาเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่ง เราล้วนต้องพกโชคชะตาออกมาพร้อมกันเสมอ

เปรียบแล้วก็เหมือนดั่งเป็นใบประกาศรับรองเส้นทางชีวิต..


มีบุคคลที่ข้าพเจ้ารู้จัก รวมที่ไม่รู้จักด้วยหลายคน ไม่ยอมรับ และไม่เคยมีความคิดเชื่อในเรื่องเหล่านี้

เหตุผลส่วนใหญ่ล้วนสรุปได้คล้ายกันว่า แม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเกิดมานั้น ล้วนมีชีวิตเป็นของตัวเอง สามารถลิขิตชีวิตได้ด้วยตัวเอง

จริงอยู่ที่ว่า.. คนเราเลือกกำเนิดเองไม่ได้ ด้วยในวงเล็บที่ข้าพเจ้าขอแย้งเสริมว่า ก็เพราะชีวิตได้ถูกลิขิตไว้แล้ว แม้กระทั่งในตอนเกิด

แล้วในช่วงชีวิตที่มีลมหายใจอยู่ อาจเชื่อว่า ตัวเราสามารถกำหนดชีิวิตได้เอง อยากมีชีวิตแบบไหน ประกอบสัมมาอาชีวะใด ก็ล้วนกำหนดได้ด้วยตัวเอง..

..................

หลายคนที่ได้อ่านมาถึงตรงนี้ อาจมีคำถามในใจว่า ผู้เขียนทำไมถึงมีความเชื่อในเรื่องราวเหล่านี้อยู่บ้าง..

คำตอบที่ข้าพเจ้าพอจะให้ได้ในระดับหนึ่ง คือ การที่ข้าพเจ้าได้มีส่วนในการรับรู้เรื่องราวของโชคชะตาของบุคคลต่างๆ รวมถึงตัวข้าพเจ้าเอง ผ่านการทำนายที่ค่อนข้างเชื่อถือได้

การที่ข้าพเจ้ามีความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับโหราพยากรณ์นี้ คงเพราะข้าพเจ้าได้สัมผัส และเรียนรู้พื้นฐานมาบ้าง

และการที่ได้เข้าไปศึกษาพื้นฐานในเรื่องเหล่านี้ ก็สืบเนื่องจากพ่อของข้าพเจ้าเอง

ย้อนเวลากลับไปในช่วงที่พ่อของข้าพเจ้ารับราชการทหาร..

ด้วยวัยที่ใกล้เกษียณอายุราชการ พ่อต้องการจะหางานอดิเรกเพื่อทำยามว่าง และแม้ว่าพ่อจะมีงานเสริมพิเศษอยู่แล้ว นั่นคือการรับซ่อมโทรทัศน์ วิทยุ และเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป เนื่องจากว่าพ่อเคยไปร่ำเรียนหลักสูตรการซ่อมโทรทัศน์ จากสถาบันแห่งหนึ่งเมื่อครั้งที่พ่อยังหนุ่ม

แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่พ่อชอบ

พ่อมีความสนใจในเรื่องเกี่ยวกับโหราศาสตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พ่อจึงเริ่มหาซื้อตำรับตำราต่างๆ เกี่ยวกับการสอนโหราศาสตร์มาศึกษาด้วยตัวเอง

เพียงเท่านั้นอาจยังไม่เพียงพอ เพราะการที่เราจะเก่งในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น ควรต้องมีอาจารย์ผู้ให้ความรู้ และคำแนะนำต่างๆ จากประสบการณ์ของอาจารย์ด้วย

ยามเมื่อพ่อมีเวลาในช่วงวันหยุดเสาร์ หรืออาทิตย์ พ่อจึงต้องเดินทางไปที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ด้วยรถเมล์ ซึ่งก็อยู่ไม่ถือว่าไกลจากที่พักมากนัก

ในช่วงเวลานั้น ที่วัดแห่งนี้เป็นที่เปิดการสอนหลักสูตรโหราศาสตร์แขนงต่างๆ แบบไม่เสียสตุ้งสตางค์แต่อย่างใด และพ่อก็สนใจ และเลือกเรียนในหลักสูตร "โหราศาสตร์พาราณสี" หรือเรียกอีกอย่างได้ว่า "โหราศาสตร์อินเดีย"

คงไม่ต้องลงรายละเอียดของการศึกษาโหราศาสตร์ประเภทนี้

หลังจากการเริ่มต้นศึกษาอย่างจริงจังมาแรมปี พ่อก็เริ่มนำความรู้จากศาสตร์นี้มาเริ่มใช้กับบุคคลใกล้ตัว

โดยการผูกดวงชะตา และเริ่มทำนายคนในบ้าน จากพื้นดวงชะตาของแต่ละคน ของลูกๆ และของตัวพ่อเอง

พอพ่อเริ่มมีความชำนาญ ลูกๆ ก็เลยทดลองนำวัน เดือน ปีเกิด เวลาเกิด ของเพื่อนๆ มาให้พ่อได้ลองวิชา โดยที่พ่อก็ไม่เคยได้คุย หรือรู้จักคุ้นเคยกับบุคคลเหล่านั้นประการใด

ผลตอบรับที่ได้ คือคำชื่นชมในการทำนาย ว่ามีความแม่นยำ และจริงในหลายๆ เรื่อง

ด้วยความที่พ่อเป็นคนชอบสูบบุหรี่ การได้ของกำนัลตอบแทน จึงไม่พ้นบุหรี่..

..................

ยามที่ข้าพเจ้ามีเวลาว่าง ก็จะมานั่งคุยกับพ่อ ถกเถียงในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์ที่พ่อร่ำเรียน

แต่สิ่งที่เคยถาม และจำได้ในบางเรื่องก็คือ..

ถามว่าดวงชะตาที่ผูกแล้ว สามารถบอกได้หรือไม่ ว่าคนๆ นั้นจะทำอาชีพอะไร

พ่อก็บอกจากแนวตำราว่า เกณฑ์ชะตาชีวิตที่เกี่ยวกับอาชีพมีมากมายหลายเกณฑ์ หากเกณฑ์นั้นเด่น หรือเป็นดาวที่ดี ก็สามารถบอกได้ทันทีว่าจะทำอาชีพเกี่ยวข้องกับอะไร

และดวงชะตาของหลายๆ คนก็อาจจะมีขึ้นถึงขีดสุด และตกต่ำถึงขีดสุดได้ในคนๆ เดียวกัน

ดังเช่นบางคนมีพื้นดวงของครอบครัวที่ดี คือเกิดบนกองเงินกองทอง แต่พื้นดวงการเงินของเจ้าชะตาไม่ดี ต่อให้มีเงินทองมากมายเท่าไหร่ก็หมด

กลับกัน บางคนมีพื้นดวงชะตาของครอบครัวไม่ดี ร่อนเร่บ้าง กำพร้าบ้าง แต่มีเกณฑ์ดวงการงาน และการเงินที่ดี ต่อมาคนผู้นั้นก็จะตั้งตัวได้ และเป็นคนมั่งมีในที่สุด

หรือแม้กระทั่งดวงโจรก็ยังมี!

พอจะสรุปได้ว่า คนหนึ่งล้านคน ก็มีดวงชะตาล้านแบบ..


ถึงแม้ว่าจะมีผู้เกิดในวัน เดือน ปีเดียวกันก็ตาม แต่ต่างเวลา และสถานที่กัน ก็ส่งผลกับเจ้าชะตานั้นด้วย

คงไม่ต้องยกตัวอย่างให้ไกลตัวไปไหน

พ่อของข้าพเจ้าบอกว่า พ่อนั้นมีวันที่เกิด เดือน และปีเกิดเดียวกันกับคุณสมัคร สุนทรเวช

ต่างกันก็เพียงเวลาเกิด และสถานที่เกิด แค่นี้ก็ส่งผลกับเจ้าชะตาผู้นั้นแล้ว เพราะพ่อเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อย ในขณะที่คุณสมัคร เป็นบุคคลมีชื่อเสียง เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง และได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรี

ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายนัก เช่น ดวงชะตาของเราในขณะช่วงเวลานั้น อาจจะได้รับผลดี หรือร้ายจากคนใกล้ตัว ก็เพราะว่าดวงดาวในเกณฑ์เจ้าเรือนนั้นส่งผลแก่กัน

..................

หลายปีก่อน.. ในปีที่พ่อจากไป..

ในช่วงต้นปีนั้น มีโอกาสได้คุยกับพ่อในเรื่องโหราศาสตร์ พ่อบอกว่าในช่วงปลายปี ประมาณเดือนตุลาคม และพฤศจิกายน มีเกณฑ์ที่พ่อจะเจ็บป่วยหนัก ถึงขั้นเลือดตกยางออก

พ่อบอกอีกว่าเป็นเกณฑ์ที่ดาวส่งผลร้ายมาก และถ้ารอดก็คือรอด พ่อบอกแค่นั้น

เมื่อได้ฟังแล้วก็รู้สึกใจคอไม่ดี แต่ใจก็ยังหวังว่าคงไม่น่าจะเป็นไร..

กระทั่งวันหนึ่งในช่วงบ่ายปลายเดือนตุลาคม ของปีเดียวกัน

ในขณะที่พวกเราในครอบครัว และคนข้างบ้าน กำลังนั่งคุยกันในเรื่องทั่วไป

พ่อก็มีอาการอาเจียนอย่างรุนแรงเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว รวมไปถึงมีอาการเหนื่อยหอบ

พวกเราตกใจมาก และได้นำตัวพ่อส่งโรงพยาบาลแห่งหนึ่งแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

หลังจากพ่อนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลได้ประมาณสองสัปดาห์กว่า พ่อก็จากพวกเราไป.. ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนในปีเดียวกัน ด้วยการระบุจากหมอว่าเป็นมะเร็งลำไส้ และติดเชื้อในกระแสเลือด

หลังจากนั้นในครอบครัวเราก็มานึกถึงสิ่งที่พ่อเคยทำนายตัวเองไว้..

แม้จะเป็นจรรยาบรรณของหมอดู ที่พ่อเคยบอกไว้ว่า ห้ามทำนายวันตายให้ใครเด็ดขาด

แต่ก็เหมือนพ่อจะยกเว้นให้กับตัวเอง เพื่อบอกให้คนในครอบครัวเป็นนัยๆ ว่าให้เตรียมใจ..

..................

บางครานั้น การที่เราพยายามทำสิ่งใดอย่างเต็มที่ เต็มกำลังความสามารถแล้ว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จดังใจหมายได้

การยอมรับความจริงแห่งโชคชะตา อาจไม่ใช่เรื่องที่เสียหายแต่อย่างใด

กลับยังสร้างความสุขที่แสนง่าย และเข้าใจมากขึ้นได้ว่า การไม่ยอมแพ้ต่อความพยายามเป็นเรื่องที่ดี มากกว่าการพยายามเอาชนะต่อโชคชะตา 

และถึงแม้ว่าเราทุกคนจะมีเกณฑ์ชะตาดีร้าย หรือบุญทำกรรมแต่งไว้อย่างไรก็ตาม

แต่ปัจจุบันนั้น เราสามารถสร้างกรรมดีใหม่ได้เอง

โดยไม่ต้องหวังให้ใครมาแก้กรรมให้กับเรา

เพราะการกระทำ หรือกรรมที่ผ่านไปแล้ว ไม่มีใครแก้ไขให้ได้

นอกเสียจากตัวของเราเอง..


ความคิดเห็น


LINE สแควร์

แวะร้านก่อนดีไหม